วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ที่นี่ !!! เคร่งเรื่อง สอบถามวิธีกำจัดหญ้าในนาข้าว




นวัตกรรมใหม่!!!สำหรับนาข้าวยุคปี2556
คุม-เลนแล้ว--- คุม-ฆ่าแล้ว--- หญ้าไม่ตายแน่ และเห็นหญ้าเมื่อ 25วัน ให้ใช้ยาแถวบ้านเกษตรกรไปก่อน 2-3ครั้ง ถ้าไม่ตาย หรือไม่ประทับใจ ถึงโทรมาปรึกษา หรือ สั่งชุด เด็ดหัว จากทางร้านไปใช้
ขอย้ำ 2-3 ครั้ง ค่อยโทรมาค่ะ ไม่ชอบคนถามเฉยแสดงว่า คุณคือร้านค้าลวงความลับเท่านั้น
****ฝนตกบ่อย ฉีดคุม-ฆ่าไม่ได้ มีวิธีแก้***     
มืออาชีพ.....ป.เคมีภัณฑ์ ณ.สิงห์บุรี โทร.087-9181778 รับกำจัดหญ้าวัชรพืชนาข้าวทุกชนิดตายสนิท........ ก่อนหน้ามาพบวิธีฉีดลุยน้ำ ท่านต้องโดน !!!มาแล้ว  ใส่ยาเยอะระดับ 70-100ซีซี----ข้าวตายแต่หญ้ารอด  หรือ ตายทั่งข้าวทั้งหญ้า ----ฝนตกครึ่งชั่วโมงไม่ได้ผล
ถ้าฉีดไม่เบื่อหรือยังไม่ครบ 2ครั้ง อย่าโทรมาน่ะ……หนูขายให้คนเดือดร้อนจริงๆเท่านั้นค่ะ
โดยที่ไม่ต้องปล่อยน้ำออก ฉีดได้มีน้ำ.......ประมาณ1ฝ่ามือ
      ส่วนใหญ่ข้าว15วันก็เริ่มใส่ปุ๋ยยูเรีย46-0-0 เสียด้วยซ้ำ  ( อุปสรรคมันเยอะ น้ำแห้งบ่อย ,ฉีดไม่ทั่ว ,ที่นาเอียงๆ,เจ้าของแปลงนาไม่เอาใจใส่)  ชุดปราบหญ้าที่ทางทีมงานทดลองแล้วประสบความสำเร็จเท่านั้น (ระวังข้าวตาย ข้าวแดง ข้าวงัน ถ้าคุณชาวนาทำนอกตำราที่ทีมงานทดลองมา)
***นาดำ / นาหว่าน ......ฉีดได้ทั้งหมด ****
>>ถ้าฉีดไม่เบื่อหรือยังไม่ครบ 2ครั้ง อย่าโทรมาน่ะ<<
เกษตรกรนาหว่านปกติใช้สารเคมี คุมเลนช่วง 0-4 วันด้วย สารเคมี เพรทิลาคลอร์ หรือ บิวทาคลอร์ ตามปกติ
คุม-ฆ่า ช่วง 10-15 วันด้วยสารเคมี โคลมาโซน+โพพานิล หรือ บิวทาคลอร์+โพพานิล ตามปกติที่เคยปฏิบัติกันมา  ปรากฏว่า  หญ้าไม่ตายเพราะฝนตกหลังฉีดสารเคมีเสร็จ 30 นาทีเอง กรรมๆ   (เสียยาฟรี)
**จำไว้น่ะ สไตล์เฉิน ถ้าไม่ลองจนแน่ใจ จะไม่โฆษณาไปวันๆ ***
         ทำแปลงทดลองก่อนขายจริง.....ตายค่อยซื้อกัน ---- 1 เดือนต่อ เราทำแปลงรอบๆร้าน ทั้งนาดำ นาหว่าน หญ้าทุกประเภทสีม่วงอ่อน ม่วงสะท้อนแสง ม่วงเขียวอมแดงประกายทองแดง .........ปรากฏว่า  ยาเคมีที่ใช้หลากหลายบริษัทเพื่อหาข้อสรุป(จะได้ไม่ต้องบ่นว่า จะตายเหรอ)  ฉะนั้นวันนี้เราขอประกาศว่า ประสบความสำเร็จ เก็บ---ฆ่าหญ้าอายุ 10-100 วันสำเร็จแล้ว
****บางแปลง หญ้าโดน สารเคมีมาสารพัด ดื้อๆ ****
ข้อบ่งใช้เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด :
1. ควรฉีดพ่นA-100 ในช่วง ที่มีแดดจัด ( ช่วง 08.00 - 09.30 น. น้ำค้างแห้ง)
2. เหมาะสำหรับฉีดพ่นวัชพืชระยะช่วง10-20วันใช้งบน้อยกว่า ช่วง 30-100วัน หรือหลังวัชพืชงอก
3.สามารถฉีดพ่นA-100+ไกโฟเสต 48% ได้ในร่องสวนยางพารา หญ้าตามแปลงไร่มันสำปะหลัง หญ้าในไร่อ้อย หญ้าในไร่สับปะรด หญ้าตามหัวคันนา และหญ้าที่มีอยู่ทั่วไป
4. ควรเก็บผลิตภัณฑ์ A-100 ไว้ในที่ร่ม หลีกเลี่ยง ความร้อน และ แสงแดด จัด

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อามูเร่ 809 ปะทะ ออติวา 809.-



นาโน-พลัส  สารชีวภัณฑ์ อินทรีย์สกัดจากต้นไม้มากกว่า 4 ชนิด สำหรับกำจัดเชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย ในใบพืชทุกชนิดในประเทศไทย  สามารถเคลือบใบได้คล้ายๆฟิล์มกรองแสงในรถยนต์  สามารถผสมร่วมกับสารเคมีป้องกันโรคพืชได้ทุกชนิด หรือใช้เดียวๆก็ได้
       ป้องกันโรคราน้ำค้างพาหะนำโรค   ป้องกันหมอกพาหะนำโรค  ป้องกันน้ำฝนพาหะนำโรค  ป้องกันโรคใบไหม้ ใบจุด ใบส้ม ใบน้ำตาล กาบใบแห้ง
<<<ซื้อใช้วันนี้ เห็นผลวันนี้ ซื้อใช้เดือนหน้า เห็นผลเดือนหน้า>>>
^^^ผ่านการทดสอบของจริงแล้ว 1ปีก่อนวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์^^^

รับสมัครตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศไทย : 087-9181778

รถยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ๆ สมัยนี้ต่างก็โฆษณากันว่าใช้ เทอร์โบแปร ผันกันไปหมดแล้ว อย่างบ้านเราเห็นจะเป็น Mitsubishi ที่ออกมาทำเครื่องยนต์ดีเซล VG Turboตามมาด้วย Toyota VIGO ออกมาโฆษณาในเครื่อง D4D step2 ใช้เทอร์โบแปรผันแบบ VNT Turbo ส่วน Isuzu ก็ส่งรถยนต์สุดยอดประหยัดน้ำมัน Dmax ซุปเปอร์คอมมอนเรล VGS Turbo จนถึงค่าย Mazda BT-50 เพาเวอร์คอมมอนเรล VGT เทอร์โบ แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อต่างมีชื่อเรียกกันไปต่างๆกันไป แต่จริงๆแล้วก็คือ เทอร์โบแปรผันเหมือนกัน แล้วเทอร์โบแปรผัน มีข้อดีกว่าเทอร์โบธรรมดาหรือไม่ และมีการทำงานอย่างไรพวกเรา thaispeedcar คงต้องติดตามดูรู้จักกับเทอร์โบแปรผัน 
เทอร์โบแปรผัน มีชื่อเรียกกันต่างๆไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ผลิต เช่นถ้าเป็นของ Holset จะเรียกว่า VGT (Variable Geometry Turbo) แต่ถ้าเป็นของ Garrett ก็จะเรียก VNT (Variable Nozzle Turbine) และถ้าเป็นของ Borg Warner เรียกว่า VTG (Variable Turbine Geometry) เทอร์โบแบบนี้มีมานานมากแล้วในต่างประเทศ ในราวปี 1989 โดยบริษัท Shelby แต่เทอร์โบแบบนี้ในสมัยแรกๆยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากเท่าไรนัก เพราะด้วยกลไกลที่สลับซับซ้อน กว่าเทอร์โบแบบทั่วๆไป การหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องทนต่อความร้อนกว่า 1,000 องศา การกัดกร่อน สนิม และคราบเขม่าจากไอเสียทำให้เทอร์โบแบบนี้ มีปัญหาด้านอายุการใช้งานเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความสามารถที่ดีกว่า ของเทอร์โบแบบนี้ ทำให้หลายๆบริษัทที่ผลิตเทอร์โบต่างคิดค้น และพัฒนาจนเทคโนโลยีในปัจุจุบัน สามารถทำให้เทอร์โบแปรผันมีความคงทนขึ้นมาก จนเป็นที่นิยมในรถยนต์ต่างประเทศเกือบทุกยี่ห้อ ทั้งเครื่องยนต์เบนซิล และดีเซล จนถึงเครื่องยนต์กว่า 1,000 แรงม้าก็เริ่มมีใช้กันบ้างแล้ว เทอร์โบแบบนี้ถ้าเป็นช่างเทอร์โบบ้านเรา ต่างเห็นกันมาเป็นสิบปีแล้ว ส่วนมากตามอะไหล่เก่าเชียงกง หรือติดเครื่องรถยุโรป และส่วนมากจะเรียกกันว่า เทอร์โบบานเกล็ด สังเกตกันง่ายๆว่าโข่งไอเสียจะใหญ่กว่า เทอร์โบธรรมดามาก ภายในโข่งไอเสียจะมีครีบบางๆคล้ายบานเกล็ดหน้าต่าง ต่อกับชุดกลไกลการเปิด ปิด ด้วยกระป๋องคล้ายเวสเกตบ้างหรือ มอเตอร์ไฟฟ้าบ้าง ถ้าเป็นรุ่นมอเตอร์มักจะทิ้ง หรือเปลี่ยนโข่งหลังใหม่ แต่ถ้าเป็นกระป๋องลมดัน ก็ใช้ได้เลยต้องยอมรับว่า อัตตราเร่งดีกว่าเทอร์โบธรรมดาอยู่พอควรส่วนประกอบของระบบแปรผัน หรือครีบปรับแรงดันไอเสีย
เทอร์โบแปรผัน ก็ไม่แตกต่างจากเทอร์โบธรรมดาทั่วไป ในโข่งหน้าไอดีมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ จะต่างกันที่ในด้านโข่งไอเสีย ภายในจะมีครีบปรับแรงดันไอเสีย ประกอบด้วย 
1. Nozzle Vane เป็นลักษณะคล้ายครีบบางๆ คล้ายบานเกล็ดหน้าต่าง วางเรียงตัวกันรอบๆ โข่งไอเสีย ครีบแต่ละตัวจะมีหมุดต่อมายัง ชุดโรลเลอร์และจานหมุนเพื่อให้สามารถกางออก และหุบตัวได้
2. Pin เป็นหมุดเล็กๆ ครีบจะสามารถขยับกางออก ต้องอาศัยหมุดนี้เป็นตัวประครองชุดหมุนหรือ โรเลอร์
3. Roller หรือจานหมุน จะสามารถขยับตัวหมุนรอบๆโข่งไอเสีย โดยจะมีแกนต่อมาจากตัวดันเช่น มอเตอร์ไฟฟ้า หรือแอกชัวเอเตอร์ มาดันให้ชุดโรเลอร์ ขยับหมุนเพื่อไปดันให้ครีบกางออก หรือหุบเข้า

การทำงาน
อย่างที่ทราบกันว่าเทอร์โบนั้น มีหน้าที่อัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ โดยอาศัยการหมุนของกังหันเทอร์ไบน ์ด้านไอดีทีหมุนตามเทอร์ไบน์ ด้านไอเสียด้วยความเร็วสูง จนเกิดแรงดันอากาศหรือแรงบูชขึ้นมา ดั้งนั้นการจะทำให้เกิดแรงดันอย่างรวดเร็ว ก็คือการทำให้ใบพัดด้านไอเสียหมุนให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ขึ้นอยู่กับค่า A/R ของเทอร์โบหรือขนาดของโข่งหลังนั่นเอง แน่นอนโข่งหลังของเทอร์โบที่มีขนาดเล็ก ย่อมทำให้ใบพัดหมุนได้เร็วกว่าทำให้บูชมาได้เร็วกว่า แต่พอรอบปลายก็จะเกิดอาการอั้นของไอเสีย จนทำให้แรงเครื่องยนต์ตก และโข่งหลังที่มีขนาดใหญ่หรือ A/R สูง ย่อมทำให้กังหันเทอร์ไบน์หมุนได้ช้ากว่า แต่พอรอบสูงๆจะหมุนได้เร็วและไม่อั้นไอเสียทำให้เครื่องยนต์มีแรงม้าเพิ่มขึ้นในรอบปลาย ดั้งนั้นเทอร์โบแปรผันออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้คือ ในเทอร์โบแปรผันจะมีครีบ Vane ทำหน้าที่กั้นอากาศไอเสียให้ไหลลงมายังกังหันเทอร์ไบน์ได้เร็วขึ้นในรอบต้น แต่พอรอบสูงขึ้นครีบก็จะกางออกเพื่อรองรับไอเสียที่ที่ออกมามากขึ้น การเปิดครีบออกของ Vane จะได้รับการควบคุมมาจาก แอกชัวเอเตอร์ ที่มีลักษณะเหมือนกระป๋องเวสเกตธรรมดา หรือมอเตอร์ไฟฟ้าที่ควบคุมการหมุนโดย ECU ต่อแกนมาดันชุด Roller ให้หมุนเพื่อไปขยับครีบให้กางออก และหุบเข้าได้ พอรอบต่ำครีบก็จะหุบตัวลงไอเสียก็จะมีความเร็วทำให้ใบพัดเทอร์ไบน์หมุนได้เร็วขึ้น จนสามารถสร้างแรงดันอากาศได้อย่างรวดเร็วไม่รอรอบ ในเวลารอบสูงครีบก็จะกางออกลดอาการต้านของแรงดันไอเสีย ทำให้ไอเสียไหลลงสู่ใบพัดเทอร์ไบน์ได้อย่างคล่องตัว แรงม้าของเครื่องยนต์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และด้วยการควบคุมการเปิดของ Vane จะเป็นตัวบังคับให้ความเร็วในการหมุนของใบพัดเทอร์ไบน์หมุนได้ที่ความเร็วจำกัด แม้ปริมาณไอเสียจะมากเพียงใด จึงทำให้เทอร์โบแปรผัน ไม่ต้องใช้เวสเกตในการควบคุมแรงดันไอเสียแต่อย่างใด

ข้อดีของเทอร์โบแปรผัน
1. ลดอาการ Turbo lag หรืออาการรอรอบ ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิด และแรงม้าดีขึ้นตั่งแต่รอบต่ำ
2. ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น จากการสร้างแรงบิดได้ตั่งแต่รอบต่ำ เครื่องยนต์จึงอาศัยอัตราเร่งน้อยกว่า
3.ลดมลพิษ ไม่มีไอเสียที่เหลือปล่อยทิ้งทางเวสเกต ทำให้ฝุ่นละอองไนโตรเจนลดลง

ข้อเสียของเทอร์โบแปรผัน
1. ราคาสูงกว่าเทอร์โบธรรมดาทั่วๆไปเพราะใช้อุปกรณ์มากกว่า
2. การดูแลรักษายาก คราบเขม่าไอเสียอาจจับตัวกับอุปกรณ์ภายใน จนเกิดการติดขัด เสียหายได้
3. ยากในการปรับแต่ง เช่นในการเพิ่มบูชแรงดันอากาศ การติดตั้งเวสเกตแยก จึงไม่เหมาะกับรถที่ใช้ในการแข่งขันหลายร้อยแรงม้า


เป็นไปได้ที่ในอนาคต ด้วยการพัฒนาด้านโลหะวิทยา และเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ อาจทำให้เทอร์โบแปรผันเข้ามาแทนที่เทอร์โบแบบธรรมดาได้มากขึ้น แต่ด้วยขีดจำกัดด้านการโมดิฟลายเครื่องยนต์ที่ต้องการแรงม้าสูงๆ การออกแบบเทอร์โบแบบธรรมดาในปัจจุบันก็มีความก้าวหน้าขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ดีกว่า ระบบบอลแบริ่ง และโข่งหลังแบบใหม่ๆ รถที่ใช้ในการแข่งขันที่เน้นแต่รอบสูงๆ เป็นไปได้ยากที่เทอร์โบแปรผันจะเข้ามาแทนที่ แต่รถแบบครอบครัวที่เน้นขับสนุก ประหยัดน้ำมันจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

4จี แพ็คโกร ปราบหนอนกอ

ชื่อการค้า   แพ็คโกร 4 จี
ชื่อสามัญ คาร์แทป ไฮโดรคลอร์ไรด์ (Cartap hydrochloride)
เปอร์เซ็นต์สารออกฤทธิ์  4%  GR
กลุ่มสารเคมี Nereistoxin analogue
สารสำคัญ S,S'-(2-dimethylaminotrimethylene) bis              
(thiocarbamete) hydrochloride
คุณสมบัติ ออกฤทธิ์ป้องกันกำจัดเพลี้ยจักจั่นฝ้ายในฝ้าย 
แมลงศัตรูข้าว หนอนกอ หนอนม้วนใบ 
หนอนกอสีชมพู
ความเป็นพิษ       - 
ข้อเสนอแนะ ควรใช้สารเคมีด้วยความระมัดระวัง 
ขนาดบรรจุภัณฑ์ 15 กก./กระสอบ

ประโยชน์และวิธีการใช้

 

แหนแดง (Azolla) เป็นเฟิร์นน้ำเล็กๆ ชนิดหนึ่งเจริญเติบโตลอยอยู่ใต้ผิวน้ำในเขตร้อนและเขตอบอุ่น โดยจะดำรงชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกันกับสาหร่ายสีเขียวแก้มน้ำเงินที่สามารถตรึง ไนโตรเจนได้แหนแดงถูกใช้เป็นปุ๋ยในนาข้าว และใช้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น สุกร เป็ด และห่าน เนื่องจากแหนแดงมีโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุต่างๆ เป็นองค์ประกอบอยู่มาก และมีกรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acid) ในปริมาณที่สูงพอเพียงต่อการเจริญเติบโตของปลา จึงเหมาะที่จะเลี้ยงปลาในนาข้าวที่มีแหนแดงอยู่ด้วย

ประโยชน์ของแหนแดง : 
แหนแดงมีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพเนื่องจากในใบของแหนแดงมีสาหร่ายสีเขียวแก้มน้ำเงิน ( blue green algae ) ชื่อ Anabaena azollae อาศัยอยู่โดยดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันกับแหนแดงแบบพึ่งพาอาศัยกัน สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ความสัมพันธ์นี้ ทำให้แหนแดงกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่สำคัญ และมีศักยภาพสูงที่สามารถนำมาใช้ในระบบเกษตรพอเพียง เพื่อร่วมกับการปลูกข้าวทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน นอกจากนี้ยังสามารถลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าวเป็นอย่างดี
การขยายพันธุ์ ทำได้ 2 วิธี คือ 
1. การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ เมื่อต้นมีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
2. การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยการสร้างสปอร์สืบพันธุ์เพศผู้ และเพศเมีย
สายพันธุ์ของแหนแดง : ที่ใช้ในนาข้าว
1. Azolla filiculoides
2. Azolla pinnata
3. Azolla critata
4. Azolla rubra
5. Azolla nilotica
วิธีการเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์
1. เลี้ยงในบ่อดินโคลน กระถาง และซีเมนต์ (คล้ายกับการเลี้ยงบัว) 
2. เลี้ยงในบ่อธรรมชาติ โดยเลี้ยงในกระชัง
3. เลี้ยงในแปลงโดยตรง

การใช้แหนแดงเป็นอาหารสัตว์
การเลี้ยงแหนแดงไม่ยุ่งยากมากนักถ้าทำให้ถูกวิธี โดยเริ่มแรกจะทำการเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ก่อนในถังซีเมนต์ หรือกระถางปลูกบัว ทำการใส่ดินประมาณ1/2 ของกระถาง ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกประมาณ 500 กรัมต่อดิน 10 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำให้ทั่วผิวดินประมาณ 10 เซนติเมตร วางไว้ที่ร่มรับแสงประมาณ 50% อย่าให้อยู่กลางแดด เมื่อแหนแดงเจริญเติบโตเต็มผิวของกระถาง สามารถนำไปขยายต่อในบ่อดินที่มีระดับน้ำ 10 – 20 เซนติเมตร เมื่อต้องการใช้ปุ๋ยในนาข้าว จึงนำไปขยายต่อในนาข้าวที่เตรียมก่อนปักดำข้าว ปล่อยแหนแดงประมาณ 10% ของพื้นที่ แหนแดงจะเจริญเต็มพื้นที่ภายใน 15 – 30 วัน หลังจากทำการคลาดกลบแล้วทำการปักดำข้าวได้ทันที แหนแดงบางส่วนจะลอยอยู่บนผิวน้ำ หลังจากปักดำข้าวควรจะปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป เพราะแหนแดงที่เจริญเติบโตในนาข้าวสามารถเป็นอาหารปลาได้ดีมากเนื่องจากมี โปรตีนสูง จึงสามารถนำปลากินพืช เช่น ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน ปล่อยลงไปได้ จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม จากปลาที่ปล่อยไป และมูลปลาในนาข้าวก็เป็นปุ๋ยให้แก่ข้าวเช่นกัน จึงทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตข้าวสูงขึ้น และให้ปลามากกว่าที่เลี้ยงโดยไม่มีแหนแดง

การใช้แหนแดงในนาข้าว :
1. เตรียมขยายพันธุ์แหนแดงในพื้นที่ 20 -25 ตารางเมตร เพื่อใช้สำหรับพื้นที่เพาะปลูกข้าว 1 ไร่
2. รักษาระดับน้ำในน่าข้าวให้ลึก 5 – 10 เซนติเมตร
3. ใช้แหนแดงในอัตรา 50 – 100 กิโลกรัม/ไร่ ในวันที่ใส่แหนแดงควรมีการใส่ปุ๋ยมูลสัตว์ (มูลไก่) ที่ให้ธาตุฟอสฟอรัสอัตรา 3 กิโลกรัม/ไร่
4. ใส่ปุ๋ยมูลสัตว์อีกครั้งเมื่อแหนแดงมีอายุ 7 – 10 วัน

แหนแดงต้องการธาตุอาหารหลักเหมือนพืชสีเขียวชนิดอื่นๆ ยกเว้นไนโตรเจน รวมทั้งต้องการธาตุอาหารรองในการเจริญเติบโตด้วยในดินนาทั่วไปฟอสฟอรัสมี ความจำเป็นต่อแหนแดงมาก ถ้าปริมาณฟอสฟอรัสในดินต่ำเกินไป จะส่งผลให้การเจริญเติบโต และปริมาณการตรึงไนโตรเจนลดลง

ผลการวิเคราะห์ปริมาณธาตุอาหารของแหนแดง ( % ต่อกรัมของน้ำหนักแห้ง ) 
ไนโตรเจน ( % ) ฟอสฟอรัส ( % ) โปแตสเซียม ( % ) 
ปริมาณไนโตรเจนที่ได้จากแหนแดงแต่ละช่วงอายุ ลักษณะการใช้แหนแดง ปริมาณไนโตรเจน
(กิโลกรัม/ไร่) 

1. เลี้ยงก่อนปักดำข้าว 20 วัน แล้วทำการไถ่กลบ
2. เลี้ยงก่อนปักดำข้าว 30 วัน แล้วทำการไถ่กลบ
3. เลี้ยงพร้อมการปักดำข้าว ให้เจริญในแปลงข้าว 20 วัน
4. เลี้ยงพร้อมการปักดำข้าว ให้เจริญในแปลงข้าว 20 วัน 
9 – 17 
12 – 25 
7 – 15 
12 – 20

ข้อสังเกต :
1. น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงแหนแดง ระดับน้ำที่ใช้ในการเลี้ยงไม่ควรสูงเกินไป ระดับที่เหมาะสมคือ 10- 30 เซนติเมตร และแหนแดงจะตายเมื่อในนาขาดน้ำ
2. แหนแดงจะเจริญเติบโตได้ดีน้ำนิ่ง หรือมีกระแสน้ำไหลเป็นเวลาอย่างช้าๆ บริเวณคลื่นลมจัดจะทำให้แหนแดงแตกกระจายออกจากกัน ทำให้การเจริญเติบโต และการตรึงไนโตรเจนลดลงอย่างมาก
3. การตรึงไนโตรเจนของ Anabaena azollae สามารถทำได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีไนโตรเจนต่ำ
4. การตรึงไนโตรเจนของ Anabaena azollae จะมีค่าสูงสุดที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส และจะหยุดกระบวนการตรึงไนโตรเจนในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 45 องศาเซลเซียส