เรารับมือกับพายุได้ดีกว่าความยากจนของเราเอง? กลยุทธ์มาร์ติงเกลล์ (Martingale),ทฤษฎีมาร์ติงเกลกลยุทธ์วางเงิน,กลยุทธ์การเทรดแบบมาติงเกล (Martingale) คลิกที่นี่
สัตว์ต่างๆล้วนมีวิวัฒนาการมาเพื่อต่อสู้กันเอง สู้กับผู้ล่า เอาตัวรอดจากสภาวะภัยต่างๆในธรรมชาติ ดังนั้น การรับมือกับภัยอันตรายภายนอก สำหรับมนุษย์เราแล้ว จะง่ายกว่าการรับมือจากภัยที่เกิดจากภายในเสมอ การต่อสู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มันง่ายกว่าการต่อสู้กับตัวเองนะ
เหตุใด ภัยภายในจึงรับมือได้ยากกว่าภัยภายนอก?
ประการแรก ภัยภายในนั้นเรามองไม่เห็น ไม่ได้ยิน และไม่สามารถรู้สึกได้ด้วยตนเอง และถึงแม้ว่าจะมีผู้อื่นเห็น แต่เราก็ยังจะไม่เห็นมันด้วยตนเองอยู่ดี มันจึงยากที่จะเชื่อถึงความมีอยู่จริง ดังนั้นใครที่สามารถมองเห็นภัยที่อยู่ในตนเองได้ เตือนตนเองได้ หรือหาเครื่องมืออื่นๆใดมาช่วยได้ คนๆนั้นจะได้เปรียบ
ประการที่สอง ภัยภายนอกนั้นมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือหายไปอย่างรวดเร็ว จึงมักทำให้เราตื่นเต้นตกใจได้ง่าย เมื่อเราตกใจ เราจะลงมือทำสิ่งหนึ่งลงไปเสมอ ไม่ว่าจะคิดต่อสู้ หรือหนีไป ในทางตรงกันข้าม ภัยภายในมักก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และอยู่กับเราไปเป็นเวลานาน ความเคยชินจะทำให้เราไม่รู้สึกที่จะต้องตอบสนองหรือจัดการมัน ภัยภายในจึงกลายเป็นปัญหาเรื้อรังมากกว่าภัยภายนอก ผลกระทบจึงมากกว่า [For-Lek-Laak-Yaa] คุณได้รับคำเชิญสู่ห้องแชท "For-Lek-Laak-Yaa"
ประการที่สาม ภัยภายนอกสามารถระบุขอบเขตทางกายภาพ ระยะเวลา และทำการศึกษาได้ง่ายกว่า ดังนั้นมันจึงมีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับภัยภายใน มันเหมือนกับถ้ำที่เราไม่กล้าเข้าไปสำรวจ ทั้งไม่มีใครสอนวิธีการสำรวจ หรือเคยสำรวจแบบไม่ถี่ถ้วน หรือกลัว
เมื่อไม่มีการสำรวจ ไม่มีข้อมูล จึงย่อมไม่สามารถพัฒนาวิธีการมารับมือกับปัญหาที่เกิดจากภัยภายในได้
ภัยจากภายนอกทั้งหลายในยุคนี้ เรามีเทคโนโลยีอันก้าวหน้า ล้วนอยู่ในวิสัยที่มนุษย์จะจัดการได้แล้วหมดสิ้น เหลือแต่ภัยภายในทั้งหลาย ที่เทคโนโลยีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำอะไร
อย่าลืมตรวจภายในอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------
(Jan 3) “ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงกำไร” ผู้บริหาร Luckin Coffee บอก: Starbucks ในจีนเตรียมถูกโค่นในปีนี้ เพราะ Luckin Coffee สตาร์ทอัพกาแฟชื่อดังจากจีน ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่อีก 2,5000 สาขาในปีนี้
นั่นจะทำให้ Luckin Coffee มีสาขารวมทั้งหมดเป็น 4,500 สาขาทั่วประเทศจีน เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 2,000 สาขา
หากเป็นไปตามแผนนี้ Luckin Coffee จะกลายเป็นเชนร้านกาแฟที่มีสาขามากกว่า Starbucks ซึ่งมีสาขาในจีนปัจจุบันอยู่เพียง 3,600 แห่งเท่านั้น
แน่นอนว่า การขยายสาขาอย่างหนักหน่วงของ Luckin Coffee มีต้นทุนที่ต้องจ่าย อย่างในปี 2018 ที่ผ่านมา มีรายงานว่า สตาร์ทอัพกาแฟชื่อดังรายนี้เผาเงินไปกว่า 800 ล้านหยวน เพื่อขยายสาขาและปรับปรุงบริการให้สู้กับคู่แข่งในตลาดอย่าง Starbucks ได้อย่างทัดเทียม
แต่แม้ว่าจะใช้เงินสูงเพื่อต่อกรกับคู่แข่ง แต่ในปีที่ผ่านมา Luckin Coffee ได้ขึ้นแท่นเป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์น พร้อมทั้งระดมทุนรอบล่าสุดไปได้ถึง 200 ล้านดอลลาร์ และมีมูลค่ากิจการถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ (72,000 ล้านบาท)
Yang Fei ผู้บริหารฝ่ายการตลาด (CMO) ของ Luckin Coffee บอกไว้ว่า “สิ่งที่เราต้องการในตอนนี้ คือจำนวนสาขาและความเร็ว” ดังนั้น “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงกำไร(ของบริษัท)”
การขยายธุรกิจออกไปให้ยิ่งใหญ่และต่อสู้ในระยะยาวต่างหาก คือสิ่งที่สตาร์ทอัพรายนี้กำลังทำอยู่
โดย Thongchai Cholsiripong
Source: Brandinside.asia
https://brandinside.asia/luckin-coffee-more-stores-than-starbucks-china/
Cr.Bank of Thailand
scholarship Students
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-***************************************************************************
“เวียตนาม : เร่งสร้างรถยนตร์แบรนด์ตัวเอง เดินตาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย อนาคตหวังชิงตลาดอาเซี่ยน”
หลังจากปี 2018 เป็นปีแรก ที่ภาษีรถยนต์ ระหว่างประเทศในอาเซี่ยนจากเดิม ร้อยละ 30 จะเหลือศูนย์เปอร์เซนท์ ทำให้ “เวียตนาม” ไม่สามารถจะดึงเกมชะลอเวลาในการปล่อยให้ “รถยนต์ญี่ปุ่น” ผลิตใน “ไทย อินโดนีเซีย” ไหลทะลักเข้าประเทศได้และน่าจะเริ่มในปี 2019 นี้ หลังจากอยู่ในช่วงดึงเกมเดินเรื่องเอกสารในปีนี้
... แต่ในอีกมุมหนึ่ง “เวียตนาม” ก็แก้เกม ก้าวไกล เดินตาม “ญี่ปุ่น เกาหลีใต้มาเลเซีย ออสเตรเลีย” ไปอีกขั้นแซง “ไทย” ที่เป็นได้แค่รับจ้างผลิตหรือขายแค่อุปกรณ์อะไหล่ประกอบรถ แต่ไม่มีแบรนด์ของตัวเองแบบ “โปรตอน” ของมาเลเซีย และ Holden ของ ออสเตรเลีย ( เหมือนรับจ้างเย็บผ้าโหล่ ในห้องแถว ให้กับแบรนด์ดังๆ เลยไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ของตัวเองและเงินเดือนของพนักงานในอุตสาหกรรมนี้ก็เลยไม่ขึ้นสูง ) ซึ่งพวกเขาได้เสี่ยงเดินหน้าสร้างรถยนต์แบรนด์ของ “เวียตนาม” เองในการประกาศเมื่อเดือนตุลาคมของปี 2018 ที่ผ่านมา
... การเดินเกมเสี่ยงสร้างแบรนด์ของตัวเองในครั้งนี้ นำโดยบริษัทชื่อ VinFast, ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท Vingroup JSC VIC.HM โดยมีแผนว่าจะปล่อยรถสองรุ่นแรกออกมาต่อกรกับรถยนต์ต่างชาติในเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้ ซึ่งโครงการนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนในการแก้เกมของเวียตนาม เพราะว่าที่ตั้งโรงงานใน “ไฮฟอง” นั้นไม่กี่เดือนก่อนยังเป็นที่ดินเปล่าอยู่เลย แต่เมื่อฝ่ายบริหารตัดสินใจสร้างรถตัวเองเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด การสร้างโรงงานและตัวโมเดลรถสองรุ่นก็เร่งด่วนให้เสร็จทันในเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้ให้ทัน
... เพราะบริษัท VinFast พวกเขารู้ว่า “ตลาดรถยนต์” ใน “เวียตนาม” เติบโตเร็วมาก โดยมีเป้าหมายว่าต้องการผลิตได้ 250,000 คันต่อปี ที่คิดเป็นจำนวนร้อยละ 92 ของจำนวนรถยนต์ที่ขายในปี 2018 ในเวียตนาม ( ประมาณ 270,000 ) โดยจะผลิตในจำนวนเท่านี้เป็นเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยเริ่มลงทุนเริ่มต้นที่ $3.5 พันล้านดอลล่าร์แล้ว
... นาย Jim Deluca ซีอีโอของวินฟาสท์ บอกว่า “เรากำลังจะเร่งขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับตลาดรถภายในประเทศที่เติบโตมากให้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นเราจะมองไปที่ตลาดเพื่อนบ้านในอาเซี่ยนและต่างประเทศต่อไป”
... ตอนนี้รถยนต์ที่ขายในตลาดภายในเวียตนามนั้นเป็น “รถยนต์แบรนด์ต่างประเทศ” ที่ประกอบชิ้นส่วนในเวียตนามเอง ( ประมาณ 270,000 คัน ) แต่เมื่อปี 2018 นี้ภาษีรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ เช่นจากเพื่อนบ้านอย่าง ไทย อินโดนีเซีย จะเหลือศูนย์เปอร์เซนท์ ตามข้อตกลงระหว่างประเทศในอาเซี่ยน จะทำให้เกิดการไหลทะลักเข้ามาแย่งตลาดรถยนตร์ภายในและอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตร์ของเวียตนามอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาในนามของเอกชนผู้สนใจเรื่องผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมรถยนต์นี้ จึงต้องเร่งแก้เกม เสี่ยงลงทุนผลิต “รถยนต์แบรนด์ของเวียตนามเอง” ในที่สุด
... โดยเดิมนั้นกลุ่ม Vingroup บริษัทแม่ของ VinFast นั้น มีหลายสาขาธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือบริษัท Vinhomes ที่เก่งและครอบครองตลาดส่วนใหญ่ของบ้านที่ดินอสังหาริมทรัพย์ ใน “เวียตนาม” แต่ว่าพวกเขาต้องการจะขยายสายการผลิตและการลงทุนมาตลาดรถยนตร์เพราะเห็นว่าเติบโตค่อนข้างมากและเร็ว
... “พวกเรามีฐานลูกค้าในเครือของเรามากกว่า 4 ล้านคน ที่เชื่อถือไว้ใจในชื่อเสียงของสินค้าและบริการของบริษัท และเราจะขยายสินค้ารถยนตร์นี้โดยต่อเนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ได้”
... ไม่เพียงแค่เร่งปกป้องตลาดรถยนตร์ภายในจากคู่แข่งต่างชาติเท่านั้น แต่พวกเขายังตั้งใจผลิต “รถจักรยานยนตร์ไฟฟ้า” จำนวน 250,000 ต่อปี ``เพื่อตอบสนองต่อตลาดมอเตอร์ไซค์ที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ( ใน โฮจิมินห์ นั้นได้ฉายานามว่า “เมืองหลวงแห่งจักรยานยนตร์โลก” ) และขยายเป็น 1 ล้านคันต่อไปในปีต่อๆไป
... และรถยนต์สองรุ่นแรกของพวกเขานั้นในเฟสแรกจะใช้โครงรถของ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ที่จะเป็นรุ่น SUV และ sedan ขนาดเล็ก, จะ เสร็จในเดือนสิงหาคมปี 2019 แล้ว ในเฟสต่อไป ยังมีแผนจะผลิตเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีของเยอรมันอย่าง Germany’s EDAG Engineering (ED4.DE) ด้วย ที่ซีอีโอบอกว่าจะเน้นแนวคิดที่ว่าผลิตชิ้นส่วนเองทั้งหมด 100 เปอร์เซนท์ ที่แนวคิดแบบนี้หายากมากในตลาดรถยนตร์ปัจจุบัน
... และที่สำคัญรถยนต์แบรนด์นี้ จะเป็น “ความภูมิใจในชาติของชาวเวียตนาม”
... ก่อนหน้านี้ VinFast ก็เคยมีความร่วมมืออันดีกับ GM ของ “อเมริกา” มาแล้วโดยเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2018 ที่ผ่านมา จีเอ็มได้มอบกรรมสิทธิ์ในโรงงานผลิตที่ฮานอยให้กับ VinFast มาแล้ว แต่ต้องผลิตรถยนตร์ขนาดเล็กภายใต้ใบอนุญาตของจีเอ็มเท่านั้น จากปี 2019 เป็นต้นไป แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะความฝันพวกเขาไกลกว่านั้น และนำมาสู่การสร้างโรงงานและสร้างรถยนต์แบรนด์ของ “เวียตนาม” เองในที่สุด
... VinFast ผู้ให้การสนับสนุนการทำทีมฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ของเวียตนาม ที่กำลังเป็นขวัญใจของชาวเวียตนามอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ใช่นักธุรกิจกลุ่มแรกที่พยายามลองเสี่ยงทำในสายอุตสาหกรรมรถยนตร์ แต่กลุ่มก่อนหน้านั้นล้มเหลวก่อนที่ผลิตรถโมเดลเสียก่อนในปี 2012 พวกเขาจึงอยากจะเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ของชาติ และ “และความภูมิใจในชาติเวียตนาม” อีกสักครั้ง
... พวกเขาไม่ได้ให้รายละเอียดของรถยนต์ แต่บอกแค่ว่า “มันอาจจะต้องเริ่มจากรถยนต์ขนาดเล็กราคาถูกไปก่อน แล้วค่อยขยับขยายไปหารถยนต์หรูหรา ที่ทั้งหมดนั้นกว่าที่เราจะเอาชนะความมั่นใจของลูกค้าต่อสินค้าเราได้ ก็อาจจะใช้เวลา 10 ถึง 20 ปี”
... “เราคิดว่า ความภาคภูมิใจในชาติคือ สิ่งที่เราจะได้กลับมาอย่างมหาศาล .... สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้มันเป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับชายหญิงชาวเวียตนาม”
... “We think national pride is a tremendous advantage for VinFast,” said Deluca. “What we’re doing here is something special for the men and women of Vietnam”.
... Vingroup already dominates the real estate market in Vietnam with Vinhomes,
... HAIPHONG, Vietnam (Reuters) - At a time when auto companies in the developed world are facing a squeeze on their profits from cash-rich tech firms, Vietnam is betting car-making can be a ticket t o a more prosperous economy, just as it was for the likes of Japan and South Korea.
... Most cars sold in Vietnam are foreign brands assembled in the country from kits. But a series of free trade agreements have reduced import duties and are opening up the market. A 30 percent import tax on cars from other Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) countries was scrapped this year.
... VinFast, a unit of Vietnam’s largest conglomerate Vingroup JSC VIC.HM, is set to become the country’s first fully-fledged domestic car manufacturer when its first production models built under its own badge hit the streets next August.
... From a standing start, VinFast will have the capacity to produce 250,000 cars annually in the next five years or so, equivalent to 92 percent of all the cars sold in Vietnam last year, according to data collated by the Vietnam Automobile Manufacturers’ Association (VAMA).
... “We are driving the rapid expansion of the domestic automobile market so we are absolutely focused on winning here first,” CEO Jim Deluca said ahead of the Paris Motor Show this week, where VinFast will reveal its first export markets.
“We’re looking to expand both within ASEAN and outside.”
… VinFast will also produce 250,000 electric scooters a year alongside the 250,000 cars, in an ambitious production target that’s set to eventually increase to 1 million units each a year.
... VinFast’s first two models, an SUV and a small sedan, are being built on a frame from BMW (BMWG.DE). The components have been engineered by Canadian firm Magna International’s (MG.TO) Magna Steyr, while design work has been done by Italian design house Pininfarina (PNNI.MI).
*********************************************************************************
เตรียมความพร้อมในวันนี้ เพื่อรอโอกาสที่จะมาถึง
Reed Hastings ผู้ก่อตั้งบริษัท Netflix สตรีมมิงวิดีโอรายใหญ่ของโลก
ที่ตอนนี้มียอดผู้ใช้เกินกว่า 100 ล้านคน
Netflix ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 ในลักษณะรูปแบบของร้านให้เช่าวิดีโอ
หนึ่งปีผ่านไป..
Netflix ได้สร้างรูปแบบการบริการที่แตกต่างจากร้านเช่าวิดีโอทั่วๆ ไป เพื่อให้สามารถขยายบริษัทต่อไปได้
ซึ่งก็คือ ระบบการส่งไปรษณีย์สำหรับให้เช่า DVD ภาพยนตร์
แต่มีเงื่อนไขคือ ผู้ยืมต้องส่งคืนภายในไม่เกิน 7 วัน หากส่งเกินกำหนดจะต้องถูกปรับเป็นเงิน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบว่าการปรับเงินอาจจะทำให้สูญเสียลูกค้าได้ง่ายเพราะว่า แม้แต่ตัวเขาเองที่ลองใช้บริการร้านของตัวเองยังถูกปรับจำนวนมากเช่นกัน
Netflix จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเป็น สมัครสมาชิกรายเดือน (subscription) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเช่าภาพยนตร์ที่ชอบได้แบบไม่จำกัด
และที่สำคัญก็คือ ผู้ใช้บริการไม่โดนปรับเงินเป็นจำนวนมากเหมือนในสมัยก่อนอีกด้วย
ธุรกิจของ Netflix ดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างต่อเนื่องมาตลอด
จนกระทั่งในปี 2004 Blockbuster ผู้ประกอบธุรกิจเช่าวิดีโอรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มปรับเปลี่ยน Model ธุรกิจเป็นรูปแบบสมัครสมาชิกเหมือนกับ Netflix และคอยตัดราคาสมาชิกให้ถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม Netflix เองก็ไม่ได้ยอมแพ้ Blockbuster
เรื่องนี้จึงกลายเป็นสงครามราคาระหว่างทั้ง 2 บริษัทในที่สุด
อาจจะดูเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับ Netflix
แต่จริงๆ แล้วการเข้ามาของ Blockbuster เป็นสิ่งที่ Reed Hastings สนใจเท่าไหร่นัก
เพราะทุกวันนี้ที่ Netflix ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ก็เพื่อรอการเกิดขึ้นของสตรีมมิงวิดีโอตามที่เขาได้คาดการณ์ไว้เมื่อตอนต้นปี 2003
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาเตรียมการไว้
ในปี 2006 มีการเกิดขึ้นของธุรกิจสตรีมมิงวิดีโอขึ้น เช่น Amazon video และ YouTube
พอเห็นแบบนี้แล้ว Reed Hastings ก็ไม่รอช้า รีบปรับเปลี่ยน Netflix เข้ามาสู่ระบบสตรีมมิงวิดีโอทันที
แรกเริ่ม เขาประกาศที่จะมอบรางวัลให้มากถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับผู้ที่คิดค้นอัลกอริทึมในการแนะนำหนังเรื่องต่อไปหลังจากชมเรื่องแรกจบได้ดีกว่าสิ่งที่บริษัทมีอยู่ในตอนนี้
ปี 2007 บริษัท Netflix ได้ประกาศเปิดตัวรูปแบบสตรีมมิงวิดีโออย่างเป็นทางการ พร้อมกับการแยกธุรกิจส่ง DVD ทางไปรษณีย์ออกไปในอีก 4 ปีถัดมา
และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างทุกวันนี้..
Cr.Market think
+ - + - + - + - + - + - + - +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พาวเวลย้ำแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป : นาย Jerome Powell, Federal Reserve Chairman เน้นย้ำแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปในลักษณะ patient ในการประชุม American Economic Association’s Annual Meeting พร้อมทั้งระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงติดตามมุมมองของตลาดเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน downside ในอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน โดยจะใช้ทุกเครื่องมือในการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป สำหรับมุมมองต่อการประกาศตัวเลขภาคการจ้างงานในวันนี้ นาย Powell มองว่าเป็นตัวเลขที่แข็งแกร่งมาก รวมถึงไม่กังวลถึงการขยายตัวของอัตราค่าจ้าง ว่าจะส่งผลให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไป
ในส่วนของประเด็นเรื่องกาปรับลด balance sheet นาย Powell ระบุว่าหากคณะกรรมการได้ข้อสรุปว่าแผนที่กำลังดำเนินอยู่ขัดกับวัตถุประสงค์ในการดำเนินนโยบาย ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่างไรก็ดี นาย Powell เชื่อว่าการปรับลดขนาด balance sheet ของธนาคารกลางสหรัฐฯ มิใช่สาเหตุของความผันผวนในตลาดการเงินช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นาย Powell กล่าวว่าตนจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง Federal Reserve Chairman แม้ได้รับการเรียกร้องจากประธานาธิบดี Trump ด้านนาง Janet Yellen และนาย Ben Bernanke อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้ง 2 ท่าน ซึ่งได้ร่วมเสวนากับนาย Powell กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับความเป็นอิสระทางการเมืองของธนาคารกลางสหรัฐฯ เช่นกัน โดยนาย Bernanke เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรดำเนินนโยบายตาม mandate ที่ได้รับและมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่นาง Yellen มองว่าประธานาธิบดีมีสิทธิ์ในการวิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่กังวลว่าหากเหตุการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของธนาคารกลาสหรัฐฯ ได้
วานนี้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือน ธ.ค. พบว่ามีการขยายตัวที่ระดับ 312K สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่มีการ revised up ตัวเลขเดือนก่อนหน้าจาก 155K สู่ระดับ 176K โดยการจ้างงานทั้งในภาค Service และภาค Goods ขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ในรายละเอียด ภาค Service ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดแรงงาน ขยายตัวที่ 227K เพิ่มขึ้นจากระดับ 146K ในเดือนก่อนหน้า นำโดยการปรับเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในกลุ่ม Education/Health Services (82K) และ Leisure/Hospitality (55K) สำหรับการจ้างงานในภาค Goods-producing, Construction, และ Manufacturing ขยายตัวที่ 74K, 38K และ 32K ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 27K, 0K และ 27K ตามลำดับ
Source: BOTSS
เพิ่มเติม
- Wall St. rebounds on robust jobs report, dovish Powell remarks: https://www.reuters.com/article/us-usa-stocks/wall-st-rebounds-on-robust-jobs-report-dovish-powell-remarks-idUSKCN1OY154
- เจอโรม พาวเวล”ส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/823232
- ประธานเฟดกร้าวไม่ลาออก หลังถูกทรัมป์กดดันอย่างหนัก: https://mgronline.com/around/detail/9620000001354
- No' Jerome Powell will not resign: https://www.bbc.com/news/business-46763683
Cr.Bank of Thailand
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
“ธนาคารกลางทั่วโลกต้องการทองคำมากขึ้น 42% หลังกระแสโลกเททิ้งดอลลาร์หนักขึ้น”
ธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกกำลังเปลี่ยนกระแสมาใช้ “ทองคำ” เป็นทางเลือกแทนค่าเงินดอลลาร์อเมริกา ซึ่งพวกเขาเห็นว่า “ถูกทำลายโดยนโยบายการค้าที่ก้าวร้าวของอเมริกา” และ “ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่โลกกำลังแบ่งเป็นสองขั้ว คือหนึ่งยอมเป็นข้าทาสเงินดอลล่าร์ กับอีกฝ่ายปฏิเสธเงินดอลล่าร์
... ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบเป็นปีต่อปีในไตรมาสแรกของปี 2018 ท่ามกลางธนาคารกลางทั่วโลก สถิติของ World Gold Council (WGC) ได้บอกชัดเจนว่า “รัสเซียและตุรกีเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ที่สุดในตลาดทองคำ”
... ธนาคารกลางเพิ่มทองคำแท่ง 193.3 ตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 เพิ่มขึ้น 8% จากจำนวน 178.6 ตันของจำนวนในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2017 นี่เป็นเครื่องหมายที่ดีมากที่สุดในรอบหกเดือนสำหรับการซื้อทองคำของธนาคารกลางตั้งแต่ปี 2015จากการข้อมูลที่บันทึกโดย WGC
, ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 ธนาคารกลางเพิ่มการถือครองทองคำเป็น 1.36 ล้านล้านดอลลาร์หรือประมาณ 10% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก WGC กล่าว นักวิเคราะห์บอกกับ RT ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการย้ายคือความปรารถนาที่จะเปลี่ยนจากดอลลาร์
... “ อเมริกาใช้เงินดอลลาร์ในการสร้างแรงกดดันต่อประเทศคู่แข่งมานานแล้ว สิ่งนี้ทำให้เกิดความโกรธในชุมชนโลกเสมอมา และตอนนี้การต่อสู้กับเงินดอลลาร์ได้ขยายลามไปถึงยุโรปแล้ว” เอลลิยาร์มูราตอฟ ประธาน Singapore Castle Family Office.ของสิงคโปร์ให้ความเห็น
... เขาบอกว่า “รัสเซีย” ได้เพิ่มการซื้อทองคำในคลังปริมาณสำรองเมื่อเผชิญกับการคว่ำบาตรใหม่ของ “อเมริกา” และตัดขาดการเชื่อมต่อในการค้ากับต่างชาติจากระบบการเงินดอลลาร์
… Muratov กล่าวต่อว่า “ขณะนี้มีการใช้กลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน ในการต่อต้าน ปฏิเสธเงินดอลล่าร์ ในหลายประเทศทั่วยุโรปและเอเชีย เช่น จีน, ตุรกี, เวเนซุเอลา, อิหร่าน, กาตาร์ และ อินโดนีเซีย ที่มีวัตถุประสงค์ “เพื่อลดบทบาทของเงินดอลลาร์ในระบบเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศของพวกเขา” ประเทศทั้งหมดเหล่านี้กำลังเพิ่มปริมาณสำรองทองคำอย่างมีนัยสำคัญ”
... ตามที่ WGC ตั้งข้อสังเกตไว้ในรายงาน “การซื้อทองคำไม่เพียงแต่จะป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ในสภาพแวดล้อมที่มีความตึงเครียดทางการเมืองโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดเพราะไม่ใช่ถูกผูกความรับผิดไว้กับบุคคลหรือองค์กรใดๆและไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่สัญญา”
... “ ทองคำ นั้นเป็นสินทรัพย์ที่คุ้นเคยสำหรับระบบธนาคารกลางโลกอยู่แล้ว แต่ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงของตลาดทองคำ – เนื่องจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นมาจากประเทศกำลังพัฒนาซึ่งหมายความว่าทองคำมีความสอดคล้องกับรูปแบบทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย ตุรกี อิหร่าน กาต้าร์ อินโดนีเซีย เวเนซุเอลา ธนาคารกลางทั่วโลก อาจกำลังตระหนักว่า “กฎของเกม” กำลังเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ … ที่ทั่วโลกจะหันหน้าหนีในการสะสมเงินดอลล่าร์ในคลังสำรองมากขึ้นเรื่อยๆ”
.
... Central banks around the world are turning to gold as an alternative to the US dollar, which they see as being undermined by America’s aggressive trade policy and geopolitical uncertainty.
Demand for gold was up 42 percent year on year in the first quarter of 2018 among central banks, the World Gold Council (WGC) statistics say. Russia and Turkey are the largest net buyers.
Central banks added a net total of 193.3 tons of bullion in the half of 2018, an 8 percent increase from the 178.6 tons bought in the same period last year. This marks the strongest six months for central bank gold buying since 2015, the WGC notes.
... As of the first half of 2018 central banks increased their gold holdings to $1.36 trillion, around 10 percent of global foreign exchange reserves, the WGC said. An analyst has told RT that the reason behind the move is a wish to diversify from the greenback.
“The United States has long used the dollar to put pressure on competitors. This has always caused anger in the world community. And now the fight against the dollar has reached Europe,” said Eldiyar Muratov, President at Singapore Castle Family Office.
“Russia has stepped up buying gold in its reserves in the face of new US sanctions and a possible disconnection from the dollar system,” added the analyst.
... “Gold is already a familiar asset class for central banks, but the changing nature of the gold market – with ever-growing consumption coming from developing economies – means that gold is increasingly aligned with emerging market economic patterns. Central banks may increasingly recognize that the rules of the game are changing.”
Cr.Jeerachart Jongsomchai
สัตว์ต่างๆล้วนมีวิวัฒนาการมาเพื่อต่อสู้กันเอง สู้กับผู้ล่า เอาตัวรอดจากสภาวะภัยต่างๆในธรรมชาติ ดังนั้น การรับมือกับภัยอันตรายภายนอก สำหรับมนุษย์เราแล้ว จะง่ายกว่าการรับมือจากภัยที่เกิดจากภายในเสมอ การต่อสู้ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มันง่ายกว่าการต่อสู้กับตัวเองนะ
เหตุใด ภัยภายในจึงรับมือได้ยากกว่าภัยภายนอก?
ประการแรก ภัยภายในนั้นเรามองไม่เห็น ไม่ได้ยิน และไม่สามารถรู้สึกได้ด้วยตนเอง และถึงแม้ว่าจะมีผู้อื่นเห็น แต่เราก็ยังจะไม่เห็นมันด้วยตนเองอยู่ดี มันจึงยากที่จะเชื่อถึงความมีอยู่จริง ดังนั้นใครที่สามารถมองเห็นภัยที่อยู่ในตนเองได้ เตือนตนเองได้ หรือหาเครื่องมืออื่นๆใดมาช่วยได้ คนๆนั้นจะได้เปรียบ
ประการที่สอง ภัยภายนอกนั้นมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือหายไปอย่างรวดเร็ว จึงมักทำให้เราตื่นเต้นตกใจได้ง่าย เมื่อเราตกใจ เราจะลงมือทำสิ่งหนึ่งลงไปเสมอ ไม่ว่าจะคิดต่อสู้ หรือหนีไป ในทางตรงกันข้าม ภัยภายในมักก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ และอยู่กับเราไปเป็นเวลานาน ความเคยชินจะทำให้เราไม่รู้สึกที่จะต้องตอบสนองหรือจัดการมัน ภัยภายในจึงกลายเป็นปัญหาเรื้อรังมากกว่าภัยภายนอก ผลกระทบจึงมากกว่า [For-Lek-Laak-Yaa] คุณได้รับคำเชิญสู่ห้องแชท "For-Lek-Laak-Yaa"
ผู้ให้บริการเทรดระบบหุ่นยนต์
ประการที่สาม ภัยภายนอกสามารถระบุขอบเขตทางกายภาพ ระยะเวลา และทำการศึกษาได้ง่ายกว่า ดังนั้นมันจึงมีการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับภัยภายใน มันเหมือนกับถ้ำที่เราไม่กล้าเข้าไปสำรวจ ทั้งไม่มีใครสอนวิธีการสำรวจ หรือเคยสำรวจแบบไม่ถี่ถ้วน หรือกลัว
เมื่อไม่มีการสำรวจ ไม่มีข้อมูล จึงย่อมไม่สามารถพัฒนาวิธีการมารับมือกับปัญหาที่เกิดจากภัยภายในได้
ภัยจากภายนอกทั้งหลายในยุคนี้ เรามีเทคโนโลยีอันก้าวหน้า ล้วนอยู่ในวิสัยที่มนุษย์จะจัดการได้แล้วหมดสิ้น เหลือแต่ภัยภายในทั้งหลาย ที่เทคโนโลยีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทำอะไร
อย่าลืมตรวจภายในอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------------------------
(Jan 3) “ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงกำไร” ผู้บริหาร Luckin Coffee บอก: Starbucks ในจีนเตรียมถูกโค่นในปีนี้ เพราะ Luckin Coffee สตาร์ทอัพกาแฟชื่อดังจากจีน ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่อีก 2,5000 สาขาในปีนี้
นั่นจะทำให้ Luckin Coffee มีสาขารวมทั้งหมดเป็น 4,500 สาขาทั่วประเทศจีน เพิ่มจากเดิมที่มีอยู่ 2,000 สาขา
หากเป็นไปตามแผนนี้ Luckin Coffee จะกลายเป็นเชนร้านกาแฟที่มีสาขามากกว่า Starbucks ซึ่งมีสาขาในจีนปัจจุบันอยู่เพียง 3,600 แห่งเท่านั้น
แน่นอนว่า การขยายสาขาอย่างหนักหน่วงของ Luckin Coffee มีต้นทุนที่ต้องจ่าย อย่างในปี 2018 ที่ผ่านมา มีรายงานว่า สตาร์ทอัพกาแฟชื่อดังรายนี้เผาเงินไปกว่า 800 ล้านหยวน เพื่อขยายสาขาและปรับปรุงบริการให้สู้กับคู่แข่งในตลาดอย่าง Starbucks ได้อย่างทัดเทียม
แต่แม้ว่าจะใช้เงินสูงเพื่อต่อกรกับคู่แข่ง แต่ในปีที่ผ่านมา Luckin Coffee ได้ขึ้นแท่นเป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์น พร้อมทั้งระดมทุนรอบล่าสุดไปได้ถึง 200 ล้านดอลลาร์ และมีมูลค่ากิจการถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ (72,000 ล้านบาท)
Yang Fei ผู้บริหารฝ่ายการตลาด (CMO) ของ Luckin Coffee บอกไว้ว่า “สิ่งที่เราต้องการในตอนนี้ คือจำนวนสาขาและความเร็ว” ดังนั้น “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงกำไร(ของบริษัท)”
การขยายธุรกิจออกไปให้ยิ่งใหญ่และต่อสู้ในระยะยาวต่างหาก คือสิ่งที่สตาร์ทอัพรายนี้กำลังทำอยู่
โดย Thongchai Cholsiripong
Source: Brandinside.asia
https://brandinside.asia/luckin-coffee-more-stores-than-starbucks-china/
Cr.Bank of Thailand
scholarship Students
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-***************************************************************************
[For-Lek-Laak-Yaa] คุณได้รับคำเชิญสู่ห้องแชท "For-Lek-Laak-Yaa"
ผู้ให้บริการเทรดระบบหุ่นยนต์“เวียตนาม : เร่งสร้างรถยนตร์แบรนด์ตัวเอง เดินตาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย อนาคตหวังชิงตลาดอาเซี่ยน”
หลังจากปี 2018 เป็นปีแรก ที่ภาษีรถยนต์ ระหว่างประเทศในอาเซี่ยนจากเดิม ร้อยละ 30 จะเหลือศูนย์เปอร์เซนท์ ทำให้ “เวียตนาม” ไม่สามารถจะดึงเกมชะลอเวลาในการปล่อยให้ “รถยนต์ญี่ปุ่น” ผลิตใน “ไทย อินโดนีเซีย” ไหลทะลักเข้าประเทศได้และน่าจะเริ่มในปี 2019 นี้ หลังจากอยู่ในช่วงดึงเกมเดินเรื่องเอกสารในปีนี้
... แต่ในอีกมุมหนึ่ง “เวียตนาม” ก็แก้เกม ก้าวไกล เดินตาม “ญี่ปุ่น เกาหลีใต้มาเลเซีย ออสเตรเลีย” ไปอีกขั้นแซง “ไทย” ที่เป็นได้แค่รับจ้างผลิตหรือขายแค่อุปกรณ์อะไหล่ประกอบรถ แต่ไม่มีแบรนด์ของตัวเองแบบ “โปรตอน” ของมาเลเซีย และ Holden ของ ออสเตรเลีย ( เหมือนรับจ้างเย็บผ้าโหล่ ในห้องแถว ให้กับแบรนด์ดังๆ เลยไม่ได้เพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ของตัวเองและเงินเดือนของพนักงานในอุตสาหกรรมนี้ก็เลยไม่ขึ้นสูง ) ซึ่งพวกเขาได้เสี่ยงเดินหน้าสร้างรถยนต์แบรนด์ของ “เวียตนาม” เองในการประกาศเมื่อเดือนตุลาคมของปี 2018 ที่ผ่านมา
... การเดินเกมเสี่ยงสร้างแบรนด์ของตัวเองในครั้งนี้ นำโดยบริษัทชื่อ VinFast, ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท Vingroup JSC VIC.HM โดยมีแผนว่าจะปล่อยรถสองรุ่นแรกออกมาต่อกรกับรถยนต์ต่างชาติในเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้ ซึ่งโครงการนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนในการแก้เกมของเวียตนาม เพราะว่าที่ตั้งโรงงานใน “ไฮฟอง” นั้นไม่กี่เดือนก่อนยังเป็นที่ดินเปล่าอยู่เลย แต่เมื่อฝ่ายบริหารตัดสินใจสร้างรถตัวเองเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด การสร้างโรงงานและตัวโมเดลรถสองรุ่นก็เร่งด่วนให้เสร็จทันในเดือนสิงหาคมปี 2019 นี้ให้ทัน
... เพราะบริษัท VinFast พวกเขารู้ว่า “ตลาดรถยนต์” ใน “เวียตนาม” เติบโตเร็วมาก โดยมีเป้าหมายว่าต้องการผลิตได้ 250,000 คันต่อปี ที่คิดเป็นจำนวนร้อยละ 92 ของจำนวนรถยนต์ที่ขายในปี 2018 ในเวียตนาม ( ประมาณ 270,000 ) โดยจะผลิตในจำนวนเท่านี้เป็นเวลา 5 ปีข้างหน้า โดยเริ่มลงทุนเริ่มต้นที่ $3.5 พันล้านดอลล่าร์แล้ว
... นาย Jim Deluca ซีอีโอของวินฟาสท์ บอกว่า “เรากำลังจะเร่งขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับตลาดรถภายในประเทศที่เติบโตมากให้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นเราจะมองไปที่ตลาดเพื่อนบ้านในอาเซี่ยนและต่างประเทศต่อไป”
... ตอนนี้รถยนต์ที่ขายในตลาดภายในเวียตนามนั้นเป็น “รถยนต์แบรนด์ต่างประเทศ” ที่ประกอบชิ้นส่วนในเวียตนามเอง ( ประมาณ 270,000 คัน ) แต่เมื่อปี 2018 นี้ภาษีรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ เช่นจากเพื่อนบ้านอย่าง ไทย อินโดนีเซีย จะเหลือศูนย์เปอร์เซนท์ ตามข้อตกลงระหว่างประเทศในอาเซี่ยน จะทำให้เกิดการไหลทะลักเข้ามาแย่งตลาดรถยนตร์ภายในและอุตสาหกรรมการประกอบรถยนตร์ของเวียตนามอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาในนามของเอกชนผู้สนใจเรื่องผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมรถยนต์นี้ จึงต้องเร่งแก้เกม เสี่ยงลงทุนผลิต “รถยนต์แบรนด์ของเวียตนามเอง” ในที่สุด
... โดยเดิมนั้นกลุ่ม Vingroup บริษัทแม่ของ VinFast นั้น มีหลายสาขาธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือบริษัท Vinhomes ที่เก่งและครอบครองตลาดส่วนใหญ่ของบ้านที่ดินอสังหาริมทรัพย์ ใน “เวียตนาม” แต่ว่าพวกเขาต้องการจะขยายสายการผลิตและการลงทุนมาตลาดรถยนตร์เพราะเห็นว่าเติบโตค่อนข้างมากและเร็ว
... “พวกเรามีฐานลูกค้าในเครือของเรามากกว่า 4 ล้านคน ที่เชื่อถือไว้ใจในชื่อเสียงของสินค้าและบริการของบริษัท และเราจะขยายสินค้ารถยนตร์นี้โดยต่อเนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ได้”
... ไม่เพียงแค่เร่งปกป้องตลาดรถยนตร์ภายในจากคู่แข่งต่างชาติเท่านั้น แต่พวกเขายังตั้งใจผลิต “รถจักรยานยนตร์ไฟฟ้า” จำนวน 250,000 ต่อปี ``เพื่อตอบสนองต่อตลาดมอเตอร์ไซค์ที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ( ใน โฮจิมินห์ นั้นได้ฉายานามว่า “เมืองหลวงแห่งจักรยานยนตร์โลก” ) และขยายเป็น 1 ล้านคันต่อไปในปีต่อๆไป
... และรถยนต์สองรุ่นแรกของพวกเขานั้นในเฟสแรกจะใช้โครงรถของ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ที่จะเป็นรุ่น SUV และ sedan ขนาดเล็ก, จะ เสร็จในเดือนสิงหาคมปี 2019 แล้ว ในเฟสต่อไป ยังมีแผนจะผลิตเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีของเยอรมันอย่าง Germany’s EDAG Engineering (ED4.DE) ด้วย ที่ซีอีโอบอกว่าจะเน้นแนวคิดที่ว่าผลิตชิ้นส่วนเองทั้งหมด 100 เปอร์เซนท์ ที่แนวคิดแบบนี้หายากมากในตลาดรถยนตร์ปัจจุบัน
... และที่สำคัญรถยนต์แบรนด์นี้ จะเป็น “ความภูมิใจในชาติของชาวเวียตนาม”
... ก่อนหน้านี้ VinFast ก็เคยมีความร่วมมืออันดีกับ GM ของ “อเมริกา” มาแล้วโดยเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2018 ที่ผ่านมา จีเอ็มได้มอบกรรมสิทธิ์ในโรงงานผลิตที่ฮานอยให้กับ VinFast มาแล้ว แต่ต้องผลิตรถยนตร์ขนาดเล็กภายใต้ใบอนุญาตของจีเอ็มเท่านั้น จากปี 2019 เป็นต้นไป แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะความฝันพวกเขาไกลกว่านั้น และนำมาสู่การสร้างโรงงานและสร้างรถยนต์แบรนด์ของ “เวียตนาม” เองในที่สุด
... VinFast ผู้ให้การสนับสนุนการทำทีมฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ของเวียตนาม ที่กำลังเป็นขวัญใจของชาวเวียตนามอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่ใช่นักธุรกิจกลุ่มแรกที่พยายามลองเสี่ยงทำในสายอุตสาหกรรมรถยนตร์ แต่กลุ่มก่อนหน้านั้นล้มเหลวก่อนที่ผลิตรถโมเดลเสียก่อนในปี 2012 พวกเขาจึงอยากจะเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ของชาติ และ “และความภูมิใจในชาติเวียตนาม” อีกสักครั้ง
... พวกเขาไม่ได้ให้รายละเอียดของรถยนต์ แต่บอกแค่ว่า “มันอาจจะต้องเริ่มจากรถยนต์ขนาดเล็กราคาถูกไปก่อน แล้วค่อยขยับขยายไปหารถยนต์หรูหรา ที่ทั้งหมดนั้นกว่าที่เราจะเอาชนะความมั่นใจของลูกค้าต่อสินค้าเราได้ ก็อาจจะใช้เวลา 10 ถึง 20 ปี”
... “เราคิดว่า ความภาคภูมิใจในชาติคือ สิ่งที่เราจะได้กลับมาอย่างมหาศาล .... สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในตอนนี้มันเป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับชายหญิงชาวเวียตนาม”
[For-Lek-Laak-Yaa] คุณได้รับคำเชิญสู่ห้องแชท "For-Lek-Laak-Yaa"
ผู้ให้บริการเทรดระบบหุ่นยนต์
.... “We think national pride is a tremendous advantage for VinFast,” said Deluca. “What we’re doing here is something special for the men and women of Vietnam”.
... Vingroup already dominates the real estate market in Vietnam with Vinhomes,
... HAIPHONG, Vietnam (Reuters) - At a time when auto companies in the developed world are facing a squeeze on their profits from cash-rich tech firms, Vietnam is betting car-making can be a ticket t o a more prosperous economy, just as it was for the likes of Japan and South Korea.
... Most cars sold in Vietnam are foreign brands assembled in the country from kits. But a series of free trade agreements have reduced import duties and are opening up the market. A 30 percent import tax on cars from other Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) countries was scrapped this year.
... VinFast, a unit of Vietnam’s largest conglomerate Vingroup JSC VIC.HM, is set to become the country’s first fully-fledged domestic car manufacturer when its first production models built under its own badge hit the streets next August.
... From a standing start, VinFast will have the capacity to produce 250,000 cars annually in the next five years or so, equivalent to 92 percent of all the cars sold in Vietnam last year, according to data collated by the Vietnam Automobile Manufacturers’ Association (VAMA).
... “We are driving the rapid expansion of the domestic automobile market so we are absolutely focused on winning here first,” CEO Jim Deluca said ahead of the Paris Motor Show this week, where VinFast will reveal its first export markets.
“We’re looking to expand both within ASEAN and outside.”
… VinFast will also produce 250,000 electric scooters a year alongside the 250,000 cars, in an ambitious production target that’s set to eventually increase to 1 million units each a year.
... VinFast’s first two models, an SUV and a small sedan, are being built on a frame from BMW (BMWG.DE). The components have been engineered by Canadian firm Magna International’s (MG.TO) Magna Steyr, while design work has been done by Italian design house Pininfarina (PNNI.MI).
*********************************************************************************
[For-Lek-Laak-Yaa] คุณได้รับคำเชิญสู่ห้องแชท "For-Lek-Laak-Yaa"
ผู้ให้บริการเทรดระบบหุ่นยนต์เตรียมความพร้อมในวันนี้ เพื่อรอโอกาสที่จะมาถึง
Reed Hastings ผู้ก่อตั้งบริษัท Netflix สตรีมมิงวิดีโอรายใหญ่ของโลก
ที่ตอนนี้มียอดผู้ใช้เกินกว่า 100 ล้านคน
Netflix ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1997 ในลักษณะรูปแบบของร้านให้เช่าวิดีโอ
หนึ่งปีผ่านไป..
Netflix ได้สร้างรูปแบบการบริการที่แตกต่างจากร้านเช่าวิดีโอทั่วๆ ไป เพื่อให้สามารถขยายบริษัทต่อไปได้
ซึ่งก็คือ ระบบการส่งไปรษณีย์สำหรับให้เช่า DVD ภาพยนตร์
แต่มีเงื่อนไขคือ ผู้ยืมต้องส่งคืนภายในไม่เกิน 7 วัน หากส่งเกินกำหนดจะต้องถูกปรับเป็นเงิน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบว่าการปรับเงินอาจจะทำให้สูญเสียลูกค้าได้ง่ายเพราะว่า แม้แต่ตัวเขาเองที่ลองใช้บริการร้านของตัวเองยังถูกปรับจำนวนมากเช่นกัน
Netflix จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเป็น สมัครสมาชิกรายเดือน (subscription) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกเช่าภาพยนตร์ที่ชอบได้แบบไม่จำกัด
และที่สำคัญก็คือ ผู้ใช้บริการไม่โดนปรับเงินเป็นจำนวนมากเหมือนในสมัยก่อนอีกด้วย
ธุรกิจของ Netflix ดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างต่อเนื่องมาตลอด
จนกระทั่งในปี 2004 Blockbuster ผู้ประกอบธุรกิจเช่าวิดีโอรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มปรับเปลี่ยน Model ธุรกิจเป็นรูปแบบสมัครสมาชิกเหมือนกับ Netflix และคอยตัดราคาสมาชิกให้ถูกกว่า
อย่างไรก็ตาม Netflix เองก็ไม่ได้ยอมแพ้ Blockbuster
เรื่องนี้จึงกลายเป็นสงครามราคาระหว่างทั้ง 2 บริษัทในที่สุด
อาจจะดูเหมือนว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับ Netflix
แต่จริงๆ แล้วการเข้ามาของ Blockbuster เป็นสิ่งที่ Reed Hastings สนใจเท่าไหร่นัก
เพราะทุกวันนี้ที่ Netflix ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ก็เพื่อรอการเกิดขึ้นของสตรีมมิงวิดีโอตามที่เขาได้คาดการณ์ไว้เมื่อตอนต้นปี 2003
และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาเตรียมการไว้
ในปี 2006 มีการเกิดขึ้นของธุรกิจสตรีมมิงวิดีโอขึ้น เช่น Amazon video และ YouTube
พอเห็นแบบนี้แล้ว Reed Hastings ก็ไม่รอช้า รีบปรับเปลี่ยน Netflix เข้ามาสู่ระบบสตรีมมิงวิดีโอทันที
แรกเริ่ม เขาประกาศที่จะมอบรางวัลให้มากถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับผู้ที่คิดค้นอัลกอริทึมในการแนะนำหนังเรื่องต่อไปหลังจากชมเรื่องแรกจบได้ดีกว่าสิ่งที่บริษัทมีอยู่ในตอนนี้
ปี 2007 บริษัท Netflix ได้ประกาศเปิดตัวรูปแบบสตรีมมิงวิดีโออย่างเป็นทางการ พร้อมกับการแยกธุรกิจส่ง DVD ทางไปรษณีย์ออกไปในอีก 4 ปีถัดมา
และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างทุกวันนี้..
Cr.Market think
+ - + - + - + - + - + - + - +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พาวเวลย้ำแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป : นาย Jerome Powell, Federal Reserve Chairman เน้นย้ำแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปในลักษณะ patient ในการประชุม American Economic Association’s Annual Meeting พร้อมทั้งระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงติดตามมุมมองของตลาดเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน downside ในอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน โดยจะใช้ทุกเครื่องมือในการดำเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป สำหรับมุมมองต่อการประกาศตัวเลขภาคการจ้างงานในวันนี้ นาย Powell มองว่าเป็นตัวเลขที่แข็งแกร่งมาก รวมถึงไม่กังวลถึงการขยายตัวของอัตราค่าจ้าง ว่าจะส่งผลให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไป
ในส่วนของประเด็นเรื่องกาปรับลด balance sheet นาย Powell ระบุว่าหากคณะกรรมการได้ข้อสรุปว่าแผนที่กำลังดำเนินอยู่ขัดกับวัตถุประสงค์ในการดำเนินนโยบาย ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่างไรก็ดี นาย Powell เชื่อว่าการปรับลดขนาด balance sheet ของธนาคารกลางสหรัฐฯ มิใช่สาเหตุของความผันผวนในตลาดการเงินช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นาย Powell กล่าวว่าตนจะไม่ลาออกจากตำแหน่ง Federal Reserve Chairman แม้ได้รับการเรียกร้องจากประธานาธิบดี Trump ด้านนาง Janet Yellen และนาย Ben Bernanke อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้ง 2 ท่าน ซึ่งได้ร่วมเสวนากับนาย Powell กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับความเป็นอิสระทางการเมืองของธนาคารกลางสหรัฐฯ เช่นกัน โดยนาย Bernanke เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรดำเนินนโยบายตาม mandate ที่ได้รับและมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่นาง Yellen มองว่าประธานาธิบดีมีสิทธิ์ในการวิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่กังวลว่าหากเหตุการณ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือทวีความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของธนาคารกลาสหรัฐฯ ได้
วานนี้มีการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ประจำเดือน ธ.ค. พบว่ามีการขยายตัวที่ระดับ 312K สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่มีการ revised up ตัวเลขเดือนก่อนหน้าจาก 155K สู่ระดับ 176K โดยการจ้างงานทั้งในภาค Service และภาค Goods ขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ในรายละเอียด ภาค Service ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของตลาดแรงงาน ขยายตัวที่ 227K เพิ่มขึ้นจากระดับ 146K ในเดือนก่อนหน้า นำโดยการปรับเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในกลุ่ม Education/Health Services (82K) และ Leisure/Hospitality (55K) สำหรับการจ้างงานในภาค Goods-producing, Construction, และ Manufacturing ขยายตัวที่ 74K, 38K และ 32K ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 27K, 0K และ 27K ตามลำดับ
Source: BOTSS
เพิ่มเติม
- Wall St. rebounds on robust jobs report, dovish Powell remarks: https://www.reuters.com/article/us-usa-stocks/wall-st-rebounds-on-robust-jobs-report-dovish-powell-remarks-idUSKCN1OY154
- เจอโรม พาวเวล”ส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/823232
- ประธานเฟดกร้าวไม่ลาออก หลังถูกทรัมป์กดดันอย่างหนัก: https://mgronline.com/around/detail/9620000001354
- No' Jerome Powell will not resign: https://www.bbc.com/news/business-46763683
Cr.Bank of Thailand
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
“ธนาคารกลางทั่วโลกต้องการทองคำมากขึ้น 42% หลังกระแสโลกเททิ้งดอลลาร์หนักขึ้น”
ธนาคารกลางของหลายประเทศทั่วโลกกำลังเปลี่ยนกระแสมาใช้ “ทองคำ” เป็นทางเลือกแทนค่าเงินดอลลาร์อเมริกา ซึ่งพวกเขาเห็นว่า “ถูกทำลายโดยนโยบายการค้าที่ก้าวร้าวของอเมริกา” และ “ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่โลกกำลังแบ่งเป็นสองขั้ว คือหนึ่งยอมเป็นข้าทาสเงินดอลล่าร์ กับอีกฝ่ายปฏิเสธเงินดอลล่าร์
... ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบเป็นปีต่อปีในไตรมาสแรกของปี 2018 ท่ามกลางธนาคารกลางทั่วโลก สถิติของ World Gold Council (WGC) ได้บอกชัดเจนว่า “รัสเซียและตุรกีเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ที่สุดในตลาดทองคำ”
... ธนาคารกลางเพิ่มทองคำแท่ง 193.3 ตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 เพิ่มขึ้น 8% จากจำนวน 178.6 ตันของจำนวนในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2017 นี่เป็นเครื่องหมายที่ดีมากที่สุดในรอบหกเดือนสำหรับการซื้อทองคำของธนาคารกลางตั้งแต่ปี 2015จากการข้อมูลที่บันทึกโดย WGC
, ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 ธนาคารกลางเพิ่มการถือครองทองคำเป็น 1.36 ล้านล้านดอลลาร์หรือประมาณ 10% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก WGC กล่าว นักวิเคราะห์บอกกับ RT ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการย้ายคือความปรารถนาที่จะเปลี่ยนจากดอลลาร์
... “ อเมริกาใช้เงินดอลลาร์ในการสร้างแรงกดดันต่อประเทศคู่แข่งมานานแล้ว สิ่งนี้ทำให้เกิดความโกรธในชุมชนโลกเสมอมา และตอนนี้การต่อสู้กับเงินดอลลาร์ได้ขยายลามไปถึงยุโรปแล้ว” เอลลิยาร์มูราตอฟ ประธาน Singapore Castle Family Office.ของสิงคโปร์ให้ความเห็น
... เขาบอกว่า “รัสเซีย” ได้เพิ่มการซื้อทองคำในคลังปริมาณสำรองเมื่อเผชิญกับการคว่ำบาตรใหม่ของ “อเมริกา” และตัดขาดการเชื่อมต่อในการค้ากับต่างชาติจากระบบการเงินดอลลาร์
… Muratov กล่าวต่อว่า “ขณะนี้มีการใช้กลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน ในการต่อต้าน ปฏิเสธเงินดอลล่าร์ ในหลายประเทศทั่วยุโรปและเอเชีย เช่น จีน, ตุรกี, เวเนซุเอลา, อิหร่าน, กาตาร์ และ อินโดนีเซีย ที่มีวัตถุประสงค์ “เพื่อลดบทบาทของเงินดอลลาร์ในระบบเศรษฐกิจและการค้าต่างประเทศของพวกเขา” ประเทศทั้งหมดเหล่านี้กำลังเพิ่มปริมาณสำรองทองคำอย่างมีนัยสำคัญ”
... ตามที่ WGC ตั้งข้อสังเกตไว้ในรายงาน “การซื้อทองคำไม่เพียงแต่จะป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน ในสภาพแวดล้อมที่มีความตึงเครียดทางการเมืองโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดเพราะไม่ใช่ถูกผูกความรับผิดไว้กับบุคคลหรือองค์กรใดๆและไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคู่สัญญา”
... “ ทองคำ นั้นเป็นสินทรัพย์ที่คุ้นเคยสำหรับระบบธนาคารกลางโลกอยู่แล้ว แต่ลักษณะที่เปลี่ยนแปลงของตลาดทองคำ – เนื่องจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นมาจากประเทศกำลังพัฒนาซึ่งหมายความว่าทองคำมีความสอดคล้องกับรูปแบบทางเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เช่น จีน รัสเซีย อินเดีย ตุรกี อิหร่าน กาต้าร์ อินโดนีเซีย เวเนซุเอลา ธนาคารกลางทั่วโลก อาจกำลังตระหนักว่า “กฎของเกม” กำลังเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ … ที่ทั่วโลกจะหันหน้าหนีในการสะสมเงินดอลล่าร์ในคลังสำรองมากขึ้นเรื่อยๆ”
.
... Central banks around the world are turning to gold as an alternative to the US dollar, which they see as being undermined by America’s aggressive trade policy and geopolitical uncertainty.
Demand for gold was up 42 percent year on year in the first quarter of 2018 among central banks, the World Gold Council (WGC) statistics say. Russia and Turkey are the largest net buyers.
Central banks added a net total of 193.3 tons of bullion in the half of 2018, an 8 percent increase from the 178.6 tons bought in the same period last year. This marks the strongest six months for central bank gold buying since 2015, the WGC notes.
... As of the first half of 2018 central banks increased their gold holdings to $1.36 trillion, around 10 percent of global foreign exchange reserves, the WGC said. An analyst has told RT that the reason behind the move is a wish to diversify from the greenback.
“The United States has long used the dollar to put pressure on competitors. This has always caused anger in the world community. And now the fight against the dollar has reached Europe,” said Eldiyar Muratov, President at Singapore Castle Family Office.
“Russia has stepped up buying gold in its reserves in the face of new US sanctions and a possible disconnection from the dollar system,” added the analyst.
... “Gold is already a familiar asset class for central banks, but the changing nature of the gold market – with ever-growing consumption coming from developing economies – means that gold is increasingly aligned with emerging market economic patterns. Central banks may increasingly recognize that the rules of the game are changing.”
Cr.Jeerachart Jongsomchai
ข้อมูลเพิ่มเติม
YouTube
: Forex : For = Foreign, Ex = Exchange : คลิปโดดเด่นปี
2561 https://bit.ly/2yOjZsS
--------------------------------------------------------------------------------------------------
[For-Lek-Laak-Yaa] คุณได้รับคำเชิญสู่ห้องแชท "For-Lek-Laak-Yaa"
ผู้ให้บริการเทรดระบบหุ่นยนต์
ฟอร์เหล็กลากหญ้า ให้บริการอะไรบ้าง แก่นักลงทุนทั่วโลก
1.ให้บริการ EA ช่วยเทรด (ฟรี) เมื่อ ต่อไอบี เข้าทีมพี่เฉิน
เรียบร้อย พร้อมกับ สอนการใช้งาน ทุกวันเสาร์
---------------------------------------------------------
2.ให้บริการ
ดูแลพอต ตั้งแต่ 2,000 ขึ้นไป ค่าแรง 30%
--------------------------------------------------------
3.ให้บริการก็อปปี้เทรดจาก
FBS ทุนมาสเตอร์เริ่มต้น 1000 $ ขึ้นไป
ระบบก็อปปี้เทรด
FBS โดยใช้งาน แอปทางมือถือเท่านั้น
หรือ เสริชคำว่า พอตเทรดคำที่ 1 SARAWIN / พอตเทรดคำที่ 2 SARAXU
4.บริการสอนออนไลน์ผ่านกลุ่มไลน์ฟรี
ทุกๆวันอาทิตย์ แก่ผู้สนใจจะลงทุนทั่วโลก
----------------------------------------------------------------------
5.โบรกเกอร์ ต้องการให้เราทำการตลาดในเมืองไทย ติดต่อ ข้อเสนอมาได้ 24 ช.ม.
สนใจเปิดร้านซื้อ-ขาย
ทองคำออนไลน์
มี
ผจกดูแลผลประโชยน์ให้
มีพนักงานประจำร้าน
สิ้นเดือนเคลียร์กำไรทุหๆวันที่
1-5
ติดต่อสอบถามได้
48ช.ม.
******************************************
ตัวอย่างที่เทรดด้วย AI For-Lek-Laak-Yaa ทีมงานเปิดอบรมใช้งานระบบแบบมืออาชีพทุกวันเสาร์
---------------------------------------------------
เปิดบัญชีเทรดทอง
วันที่ 31-8-2561
ทุน
1000ดอล
ประวัติ์การเทรดและฝีมือการปรับแต่งระบบ
ทุกวันเสาร์
ลิงค์แบบย่อ
: https://bit.ly/2zDg8iP
--------------------------------------------------
ประวัติ์การเทรดและฝีมือการปรับแต่งระบบ
ทุกวันเสาร์
เปิดบัญชีเทรดทอง
วันที่ 15-11-2561
ทุน
2000 ดอล
ลิงค์แบบย่อ
: https://bit.ly/2PpQpoG
ลิงค์แบบเต็ม
: https://www.myfxbook.com/members/prajob/2000--xu-โทร0879181778/2751447/j6gogVQprnaBKxDl0van
-------------------------------------------------------
ประวัติ์การเทรดและฝีมือการปรับแต่งระบบ
ทุกวันเสาร์
เปิดบัญชี
เทรด UJ EJ GU EU
ทุน
2000ดอล
ลิงค์แบบย่อ
: https://bit.ly/2PwzyAP
-----------------------------------------------------
สไตล์การลงทุนในตลาด
forexe เทรดแบบกำไรเฉลี่ยเดือนละ 10%
ถ้าได้เกินถือว่า ของขวัญชีวิตแต่ละเดือน ไม่เร่งรีบกำไร
เน้นปลอดภัยจากสภาวะตลาดป่วนๆ
------------------------------------------------------------------
เปิดร้านซื้อขาย
"สกุลเงินออนไลน์" งบลงทุน 10,000 ดอลล่า(320,000บาท)
ลิงค์แบบย่อ(ประวัติ์การเทรด+ซื้อขาย24ช.ม.)
: https://bit.ly/2PQFjtd
ลิงค์แบบเต็ม(ประวัติ์การเทรด+ซื้อขาย24ช.ม.)
: https://www.myfxbook.com/members/prajob/sara-for-lek-laak-yaa/2764342/S5rCyphq9K2qoOYKx57F
------------------------------------------------------------------
เปิดร้านซื้อขาย
"ทองคำออนไลน์ " งบลงทุน 30,000 ดอลล่า(960,000บาท)
ลิงค์แบบย่อ(ประวัติ์การเทรด+ซื้อขาย24ช.ม.)
: https://bit.ly/2QijxOl
ลิงค์แบบเต็ม(ประวัติ์การเทรด+ซื้อขาย24ช.ม.)
: https://www.myfxbook.com/members/prajob/sara-for-lek-laak-yaa/2764333/rpITKc3C5HC1rduHUMfs